วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ให้นักศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้ 29 ส.ค. 54

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาประเทศ
1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร
เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นฐานรากที่รองรับ สังคมสารสนเทศ” (Information Society) ที่มี สารสนเทศ เป็นหัวใจสำคัญ เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการจัดบริการสังคมพื้นฐาน ในขบวนการพัฒนาสังคม เช่น ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา ทางด้านสาธารณสุข การบริหารรัฐกิจ ฯลฯ เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาด้านศึกษา
 ครรชิต มาลัยวงศ์ (2540) และได้เสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษาไว้ 5 ประเด็น คือ
                1.การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) มีหลายรูปแบบเช่น Drill and Practice, Linear Program , Branching Program, Simulation, Game, Multimedia, Intelligence CAI
                2.การศึกษาทางไกล (Distance Learning) ซึ่งจัดได้หลายรูปแบบ เช่น การใช้วิทยุ โทรทัศน์ การสื่อสารโดยใช้ระบบแพร่ภาพผ่านดาวเทียม (Direct to Home : DTH) หรือระบบการแระชุมทางไกล (Video Teleconference) 
                3.เครือข่ายการศึกษา (Education Network) ซึ่งเป็นการนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้ ซึ่งมีบริการในหลายรูปแบบ เช่น Electronic Mail , File Transfer Protocol, Telnet , World Wide Web เป็นต้น เครื่องข่ายคอมพิวเตอร์จะสามารถให้ผู้เรียนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่มีจำนวนมากมายที่เชื่อมโยงในเครือข่ายทั่วโลก 
                4.การใช้งานในห้องสมุด (Electronic Library) เป็นการประยุกต์ใช้ในการสืบค้นข้อมูลหนังสือ วารสาร หรือบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ ผลงานการวิจัย 
                5.การใช้งานในห้องปฏิบัติการ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการจำลองสถานการณ์ (Simulation) การใช้ในงานประจำและงานบริหาร (Computer Manage Instruction) เป็นการประยุกต์ใช้ในสำนักงานเพื่อช่วยในการบริหาร จัดการ ทำให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็วและแม่นยำ การตัดสินใจในการดำเนินการต่างๆ ย่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ            เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทในด้านเศรษฐกิจโดยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์และเพิ่มขีดสามารถในการแข่งขันทั้งภาคการผลิตและบริการ ภาคการเงินการคลังทั้งภายใน ประเทศ และเพื่อการส่งออก อีกทั้งยังประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านเศรษฐกิจ
            เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจได้หลายประการดังตัวอย่างเช่น             1. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) หมายถึง การดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารโทรคมนาคมหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือการดำเนินธุรกิจการค้าหรือการซื้อขายบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้ซื้อ (Customer) สามารถดำเนินการ  เลือกสินค้าคำนวณเงิน ตัดสินใจซื้อสินค้า โดยใช้วงเงินในบัตรเครดิตได้โดยอัตโนมัติ  ผู้ขาย (Business)สามารถนำเสนอสินค้า  ตรวจสอบวงเงินบัตรเครดิตของลูกค้า รับเงินชำระค่าสินค้า ตัดสินค้าจากคลังสินค้า และประสานงานไปยังผู้จัดส่งสินค้าโดยอัตโนมัติ  กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินการเสร็จสิ้นบนระบบเครือข่าย


                        วงจรของระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์
รูปแบบการทำธุรกิจ
การทำธุรกิจแบบ E-Commerceแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
         1. ธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business : B2B) หมายถึงธุรกิจที่มุ่งเน้นการให้บริการแก่ผู้ประกอบการด้วยกัน โดยอาจเป็นผู้ประกอบการในระดับเดียวกัน หรือต่างระดับกันก็ได้ อาทิ ผู้ผลิตกับผู้ผลิต ผู้ผลิตกับผู้ส่งออก ผู้ผลิตกับผู้นำเข้า ผู้ผลิตกับผู้ค้าส่งและค้าปลีก เป็นต้น
           2. ธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer : B2C) หมายถึงธุรกิจที่มุ่งเน้นการบริการกับลูกค้าหรือผู้บริโภค อาทิ การขายสินค้าอุปโภคบริโภค 
             3. ธุรกิจกับรัฐบาล (Business to Government : B2G) หมายถึงธุรกิจการบริหารการค้าของประเทศ เพื่อเน้นการบริหารการจัดการที่ดีของรัฐบาล 
             4. ผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer to Consumer : C2C) หมายถึงธุรกิจระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค ซึ่งเป็นการค้ารายย่อย อาทิ การขายของเก่าให้กับบุคคลอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต
ความสัมพันธ์ของระบบการค้าอิเล็กทรอนิคส์ E-Commerce
             
การดำเนินการธุรกิจการค้าบนอินเทอร์เน็ตหรือ E-Commerce จำเป็นจะต้องมีความสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการค้าบนอินเทอร์เน็ตหรือ E-Commerce มีดังนี้ 
              1. ธนาคาร 
(Bank) ทำหน้าที่เป็น Payment Gateway คือตรวจสอบ และอนุมัติวงเงินของผู้ถือบัตร เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้า และ/หรือบริการ ทาง Internetผ่านระบบของธนาคาร และธนาคารจะโอนเงินค่าสินค้า และหรือบริการนั้น ๆ เข้าบัญชีของร้านค้า สมาชิก
               2. TPSP (Transaction processing service provider) คือองค์กรผู้บริหาร และพัฒนาโปรแกรม การประมวลผลการชำระค่าสินค้า และ/หรือบริการ ผ่าน Internet ให้กับร้านค้า หรือ ISPต่าง ๆ ผ่านGateway โดย TPSPสามารถต่อเชื่อมระบบให้กับทุก ๆ ร้านค้าหรือทุก ๆ ISP และทำการ Internet ระบบชำระเงินผ่าน Gateway ของธนาคาร 
                 3. ลูกค้า
 (Customer) สามารถชำระค่าสินค้า และ/หรือบริการได้ด้วย บัตรเครดิต บัตรเครดิตวีซ่า หรือมาสเตอร์การ์ดจากทุกสถาบันการเงินทั่วโลก  ระบบหักบัญชีเงินฝากของธนาคาร (Direct Debit)
                  4. ร้านค้า
 (Merchant)ที่ต้องการขายสินค้าและ/หรือบริการผ่านระบบ Internet โดยเปิด Home Page บนSite ของตนเอง หรือ ฝาก Home Pageไว้กับ Web Site หรือ Virtual Mall ต่าง ๆ เพื่อขายสินค้าและหรือบริการผ่านระบบของธนาคาร  ร้านค้าจะต้องเปิดบัญชีและสมัครเป็นร้านค้าสมาชิก E-Commerceกับธนาคารก่อน
                    5. ISP (Internet service provider) องค์กรผู้ให้บริการเชื่อมต่อระบบการสื่อสารทาง Internet  ให้กับลูกค้า ซึ่งอาจเป็นร้านค้าหรือผู้ใช้ Internet ทั่วไป โดย ISP รับและจดทะเบียน Domain หรือ จะจัดตั้ง Virtual Mall เพื่อให้ร้านค้านำ Home Pageมาฝากเพื่อขายสินค้า


ความสัมพันธ์ของระบบการค้าอิเล็กทรอนิคส์ E-Commerce
ความสำคัญของการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
           1. ลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รวมทั้งค่าเช่าพื้นที่ขายหรือการลงทุนในการสร้างร้าน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจต่ำลง
            2. ประหยัดเวลาและขั้นตอนทางการตลาด
            3. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และให้บริการได้ทั่วโลก
            4. มีช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
            5. สามารถทำกำไรได้มากกว่าระบบการขายแบบเดิม เนื่องจากต้นทุนการผลิตและการจำหน่ายต่ำกว่า ทำให้ได้กำไรจากการขายต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
            6. สามารถนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าได้เป็นจำนวนมาก และสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ในลักษณะ Interactive Market
             7. ปรับปรุงหรือ Update ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ตลอดเวลา
             8. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อหรือลูกค้า อาทิ ชื่อ ที่อยู่ พฤติกรรม การบริโภค สินค้าที่ต้องการ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการทำวิจัยและวางแผนการตลาด เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น
              9. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจหรือองค์กร ในเรื่องของความทันสมัยและเป็นโอกาสที่จะทำให้สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
             10. สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้เร็วและเสียเวลาน้อย
   ข้อจำกัดในการใช้พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์
 1. ความไม่ปลอดภัยของข้อมูล ขาดการตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ต ข้อมูลบนบัตรเครดิตอาจถูกดักฟังหรืออ่าน เพื่อเอาชื่อและหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้โดยที่เจ้าของบัตรเครดิตไม่รู้ได้ การส่งข้อมูลจึงต้องมีการพัฒนาวิธีการเข้ารหัสที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน เพื่อให้ข้อมูลของลูกค้าได้รับความปลอดภัยสูงสุด
 2. ประเทศไทยยังไม่มีธนาคารพาณิชย์ที่จะทำหน้าที่รับประกันความเสี่ยง สำหรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันการชำระเงินยังต้องผ่านธนาคารที่เป็นของต่างประเทศ
             3. ปัญหาความยากจน ความด้อยโอกาสและขาดความรู้ทางเทคโนโลยี รวมทั้งขาดเครือข่ายการสื่อสาร เช่น ระบบเคเบิล ระบบโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง จึงทำให้ชนบทที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงและใช้บริการอินเตอร์เน็ตได้
              4. พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ ยังมีประเด็นเชิงนโยบายที่ทำให้รัฐบาลต้องเข้ามากำหนดมาตรการ เพื่อให้ความคุ้มครองกับผู้ซื้อและผู้ขาย ขณะเดียวกันมาตรการมนเรื่องระเบียบที่จะกำหนดขึ้นต้องไม่ขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยี
    5. ผู้ซื้อไม่มั่นใจเรื่องการเก็บรักษาความลับทางธุรกิจ ข้อมูลส่วนบุคคลเช่น ไม่มั่นใจว่าจะมีผู้นำหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้ประโยชน์ในทางที่มิชอบหรือไม่
     6. ผู้ขายไม่มั่นใจว่าลูกค้ามีตัวตนอยู่จริง จะเป็นบุคคลเดี่ยวกับที่แจ้งสั่งซื้อสินค้าหรือไม่มีความสามารถในการที่จะจ่ายสินค้าและบริการหรือไม่ และไม่มั่นใจว่าการทำสัญญาซื้อขายผ่านระบบ อินเตอร์เน็ตจะมีผลถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
                    7. ด้านรัฐบาล ในกรณีที่ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่คนละประเทศกันจะใช้กฎหมายของประเทศใดเป็นหลัก หากมีการกระทำผิดกฎหมายในการการกระทำการซื้อขายลักษณะนี้ ความยากลำบากในการติดตามการซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต อาจทำให้รัฐบาลประสบปัญหาในการเรียกเก็บภาษีเงินได้และภาษีศุลกากร การที่การพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ พฤติกรรมของผู้บริโภค และการปฏิบัติงานของภาครัฐบาล ทำให้รัฐบาลอาจเข้ามากำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ขายที่ใช้บริการพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ความสนใจในการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาปัจจัยที่จะเพิ่มความสะดวกทางด้านโทรคมนาคมสื่อสาร
        8.ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถทำสำเนาหรือดัดแปลงหรือสร้างขึ้นใหม่ได้ง่ายกว่าเอกสารที่เป็นกระดาษ จึงต้องจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยในการอ้างสิทธิให้ดีพอ
        9. การพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการทางธุรกิจที่ดีด้วย การนำระบบนี้มาใช้จึงไม่สมควรทำตามกระแสนิยม เพราะถ้าลงทุนไปแล้วไม่สามารถให้บริการที่ดีกับลูกค้าได้ ย่อมเกิดผลเสียต่อบริษัท
        10. ปัญหาที่เกิดกับงานด้านกฎหมายและลายเซ็น ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่จะกำกับดูแลการทำนิติกรรม การทำการซื้อขายผ่านทางการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
            2.การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาพันธมิตรของกลุ่มผู้ประกอบการ (Virtual Cluster Development)
ความหมายของพันธมิตร (Cluster)
           รุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ได้อธิบายว่าคลัสเตอร์ (Cluster)
(http://www.sme.go.th/websme/sme_know02.asp) หมายถึง การที่กลุ่มผู้ประกอบการที่มีความชำนาญพิเศษและผู้ให้บริการ เฉพาะด้าน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้อง ช่องทางการจำหน่าย ลูกค้า และสถาบันที่เกี่ยวข้องที่เชื่อมโยงกันในสาขาเฉพาะสาขาใดสาขาหนึ่งในพื้นที่ร่วมมือกัน การเชื่อมโยงใน Cluster จะมีทั้งการเชื่อมโยงไปข้างหน้ากับลูกค้า และเชื่อมโยงไปข้างหลังกับ suppliers หรือการเชื่อมโยง ในด้านข้างกับผู้ประกอบการสนับสนุน หรือผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ตลอดจนการเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา และสถานวิจัยต่าง ๆ ซึ่งการเชื่อมโยงนี้เองที่เป็นกลไกสนับสนุนความสามารถในด้านนวัตกรรม นอกจากนี้ Cluster ยังสามารถครอบคลุม อุตสาหกรรม ต่าง ๆ ทั้งขนาดใหญ่ และเล็ก
             คลัสเตอร์ (Cluster) จะต้องร่วมมือกันทั้งผู้ผลิตจัดจำหน่าย (Suppliers) และผู้ซื้อ (Buyers) ผู้ให้ (Industry) เกิดการบูรณาการ ของกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อความยั่งยืนของกลุ่ม อันจะเป็นการป้องกันการแทรกเข้ามา คู่แข่งขันรายอื่น (Potential Entrants) โดยที่กลุ่มอุตสาหกรรม ก็จะต้องมีการพัฒนาการผลิตภัณฑ์ ใหม่ ๆ (Product Innovation) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการทดแทน ของผลิตภัณฑ์ (Substitute Products) ในตลาด
 ธุรกิจของคลัสเตอร์ในประเทศไทย
              ตัวอย่างการพัฒนานวัตกรรมโดยใช้ระบบคลัสเตอร์ที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือ โครงการนวัตกรรมเชิงธุรกิจของคลัสเตอร์กล้วยไม้ในประเทศไทย ซึ่งได้มีการประชุมเพื่อดำเนินโครงการร่วมกันของหลายหน่วยงาน ทั้งที่มาจากหน่วยงานวิจัย เช่น ศูนย์ไบโอเทค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บริษัทผู้ผลิตและบริษัทผู้ส่งออก เช่น บริษัท กล้วยไม้ไทย จำกัด บริษัท กรุงเทพอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ จำกัด บริษัท ศาลายาออร์คิด จำกัด ฝ่ายร่วมลงทุนและสนับสนุนด้านการเงิน เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้เป็นต้น

              3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน 
ความหมายวิสาหกิจชุมชน ( Small and Micro Community Enterprise – SMCE) 
           พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ.2548 ได้ให้ความหมายว่า วิสาหกิจชุมชนและความหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องดังนี้
                              วิสาหกิจชุมชน หมายความว่า  กิจการของชุมชนเกี่ยวกับการผลิตสินค้า การให้บริการหรือการอื่น ๆที่ดำเนินการโดยคณะบุคคลที่มีความผูกพัน มีวิถีชีวิตร่วมกันและรวมตัวกันประกอบกิจการดังกล่าว  ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลในรูปแบบใดหรือไม่เป็นนิติบุคคล    เพื่อสร้างรายได้และเพื่อการพึ่งพาตนเองของครอบครัว ชุมชนและระหว่างชุมชน
                                  เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน หมายความว่า คณะบุคคลที่รวมตัวกัน      โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในเครือข่าย
                กิจการวิสาหกิจชุมชน หมายความว่า กิจการของวิสาหกิจชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน
                   เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน
               หมายถึงการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเชื่อมโยงกิจการต่างๆของวิสาหกิจชุมชนในเครือข่ายทั้งในระดับพื้นที่ ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ  เป็นสื่อกลาง และเป็นช่องทางประสานงานกับเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนหรือวิสาหกิจชุมชนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้หรือดำเนินกิจกรรมอื่นอันเป็นประโยชน์หรือเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในเครือข่าย ให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ การฝึกอบรมหรือความช่วยเหลือในการปรับปรุงหรือพัฒนาการผลิต การให้บริการ การบริหารจัดการ การหาแหล่งทุน การตลาด และอื่น ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในเครือข่าย เป็นต้น
                สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน กรมส่งเสริมการเกษตร ได้จัดทำเว็บไซด์ระบบสารสนเทศวิสาหกิจชุมชน(SMCE) (http://smce.doae.go.th) ให้บริการด้านต่างๆเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน อาทิเช่น
                1. ค้นหาข้อมูลวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายที่จดทะเบียน
                2. ตรวจสอบชื่อวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายที่ขอจดทะเบียน
                3. ให้บริการแบบฟอร์มเอกสารต่างๆเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน
                4กระดานสนทนาถามตอบเรื่องวิสาหกิจชุมชนและที่เกี่ยวข้อง
                5. ข้อมูลพื้นฐานเรื่องวิสาหกิจชุมชนและบทบาทของกรมส่งเสริมการเกษตรในเรื่องวิสาหกิจชุมชน

2.สารสนเทศสนับสนุนงานขององค์กรอย่างไร บ้าง จงอธิบายพร้อมให้เหตุผลประกอบ
ระบบสารสนเทศในองค์กร
องค์กร หมายถึง  บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกัน โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน และดำเนินกิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น โดยมีทั้ง องค์กรที่แสวงหาผลกำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ และ องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลัก เช่น สมาคม สถาบัน มูลนิธิ เป็นต้น
บทบาทขององค์กรที่มีต่อระบบสารสนเทศ
องค์กรมีผลต่อระบบสารสนเทศในหลายด้านพอสรุปได้ดังนี้คือ
           1.การตัดสินใจเรื่องบทบาทของระบบสารสนเทศและการนำระบบสารสนเทศมาใช้ กล่าวคือ องค์กรจะต้องทำการพิจารณาว่าจะนำระบบสารสนเทศมาใช้ให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน หรือจะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แทนพนักงานเท่านั้น หรือที่เรียกว่า Automation หากองค์กรให้ความสำคัญต่อระบบสารสนเทศในการเป็นทรัพยากรที่ใช้ในการแข่งขัน องค์กรอาจจะต้องมีการจัดเตรียมงบประมาณในการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มากขึ้น เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของระบบให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
           2.การตัดสินใจว่าจะพัฒนาระบบสารสนเทศอย่างไร ได้แก่ การตัดสินใจที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศด้วยหน่วยงานภายใน หรือจะจ้างหน่วยงานภายนอกมาทำการพัฒนาที่เรียกว่า Outsourcing หากองค์กรจะทำการพัฒนาด้วยตัวเอง องค์กรจะต้องมีหน่วยงานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศภายในที่มีความรู้ ความสามารถเพียงพอในการจะดำเนินการดังกล่าวได้
           3. การตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานสารสนเทศ ได้แก่ การตัดสินใจที่จะมีหน่วยงานสารสนเทศภายในแบบใด เช่น เป็นเพียงหน่วยงานสนับสนุนการบำรุงรักษาระบบสารสนเทศเท่านั้น หรือจะเป็นหน่วยงานสารสนเทศหลักในการพัฒนาระบบด้วยตัวเอง
           4. การตัดสินใจว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องคำนึงถึงในการพัฒนาระบบสารสนเทศ เช่น จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานหรือไม่เพื่อรองรับการนำระบบสารสนเทศหรือเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กร และปรับปรุงอย่างไร เป็นต้น
การนำระบบสนเทศมาใช้ในองค์กร
 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรมากมาย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
           1. ทำให้ผู้บริหารมีสารสนเทศ(Information)มาช่วยในการตัดสินใจ การวิเคราะห์ การจัดการ และการควบคุมที่ดีขึ้น
           2.ทำให้ผู้บริหารสามารถจัดการการงานที่มีประสิทธิภาพขึ้น ด้วยการเสริมทางด้านการติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว
           3.ทรัพยากรสารสนเทศมีความสำคัญมากขึ้น และถือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเช่นเดียวกับทรัพยากรด้านอื่นๆ ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณการจัดซื้อหรือหรือหามาซึ่งทรัพยากรสารสนเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ขององค์กร
           4.ผู้บริหารทุกคนถือว่ามีส่วนสำคัญในการจัดการ และการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรสารสนเทศ
           5. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง วัฒนธรรม และอิทธิพลทางการเมืองในองค์กรหน่วยงานสารสนเทศหรือหน่วยงานทีมีส่วนในการเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลจะมีความสำคัญมากขึ้นในองค์กร
ระบบสารสนเทศที่นำไปใช้ในองค์กร ในปัจจุบันนั้นที่สำคัญมี 3 อย่าง คือ
           1.นำไปใช้ในการประมวลผลรายการ และการจัดทำรายงาน
           2.นำไปใช้ในการช่วยการตัดสินใจ
           3.นำไปใช้ในการช่วยการติดต่อสื่อสาร

กลยุทธ์ระดับองค์กร (Firm-Level Strategy)
ได้แก่ การตัดสินใจทำให้หน่วยงานภายในองค์กรมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โดยการนำระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งสามารถพิจารณาได้ 2 เรื่องคือ
           1. การนำระบบสารสนเทศไปใช้ส่งเสริมธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลัก
ธุรกิจหลัก (Core Competencies) คือ ธุรกิจที่องค์กรมีความชำนาญมากที่สุด เช่น บริษัทเจริญโภคภัณฑ์มีการทำธุรกิจมากมาย แต่ธุรกิจที่ถือว่าเป็นธุรกิจหลักของกิจการก็คือ การผลิตด้านสัตว์และอาหารสัตว์ หรือ กรณีบริษัท Federal Express ที่มีความชำนาญในการทำธุรกิจการจัดส่งพัสดุมากที่สุด เป็นต้น
การนำระบบสารสนเทศมาใช้ส่งเสริมธุรกิจหลัก ได้แก่ การรวมศูนย์ข้อมูลเพื่อการใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจหลัก หรือการลงทุนในเทคโนโลยีหรือระบบที่จะทำให้การทำธุรกิจหลักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
           2.การนำเทคโนโลยีหรือระบบสารสนเทศหรือระบบสารสนเทศไปใช้ในการเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆภายในองค์กร ได้แก่ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในการติดต่อสื่อสารหรืประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือ กรุ๊ปแวร์ (Groupware) เป็นต้น เพื่อให้การติดต่องานที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น และเป็นการเชื่อมโยงหน่วยงานที่อยู่ห่างไกลกันให้มีการประสานงานที่ดีขึ้น
ตัวอย่าง ของการนำสารสนเทศมาใช้ในองค์กร
           UPS แข่งขันไปทั่วโลกด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
บริษัท United Parcel Service หรือ UPS ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่อันดับหนึ่งของโลกในด้านการจัดส่งพัสดุทางบก ทำการก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2450 และยังคงเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในปัจจุบันจากการที่ไม่เคยหยุดอยู่กับการพัฒนาบริการให้ดีขึ้น
           UPS ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Hand-held Computer การบันทึกข้อมูลลายเซ็นลูกค้าเวลาที่รับ หีบห่อและเวลาที่ส่ง หีบห่อ จากนั้นส่งผ่านข้อมูลโดยผ่าน ระบบเครือข่ายของโทรศัพท์ไร้สาย หรือ Cellular Telephone Network ภายในรถไปยังคอมพิวเตอร์หลักของบริษัทที่
ตั้งอยู่ทั่วโลกทำให้สามารถทราบได้ว่าพัสดุอยู่ที่ไหน
           ซึ่งระบบนี้จะใช้ บาร์โค้ด ( Bar Code ) เป็นตัวบันทึกข้อมูลหีบห่อที่รับและส่งเพื่อส่งผ่านข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง ทำให้ฝ่ายขายสามารถตอบคำถามลูกค้าเกี่ยวกับพัสดุได้รวมทั้งลูกค้าของ UPS สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้เองทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือ
 ( WWW ) หรือการใช้ซอฟต์แวร์พิเศษของ UPS รวมทั้งลูกค้าสามารถเข้าไปใน WWW ตรวจสอบเส้นทางการขนส่ง คำนวณอัตราค่าส่งหีบห่อ และจัดตารางการรับ/ส่งหีบห่อได้และในอนาคตก็จะสามารถจ่ายค่าส่งทางอินเตอร์เน็ตได้
           นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2534 UPS ยังเสนอบริการใหม่ด้วยการส่งสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง และบริษัทยังสามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางหรือหยุดการส่งในระหว่างทางได้หากลูกค้าต้องการ
ความจำเป็นและประโยชน์ต่อการจัดองค์กร 
 ประโยชน์ต่อองค์กร
           1.องค์กรเจริญก้าวหน้า
           2.ทำให้งานไม่ซ้ำซ้อน
           3.ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้
ประโยชน์ต่อผู้บริการ
           1.การบริหารงานง่าย
           2.แก้ปัญหางานไม่ซ้ำซ้อน
           3.งานไม่คั่งค้าง
แผนภูมิองค์การ (Organization Charts)
            แผนภูมิองค์การ คือ รูปไดอะแกรมที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะต่าง ๆ ที่สำคัญขององค์การรวมทั้งหน้าที่และความสัมพันธ์ของฝ่ายต่าง ๆ หรือกล่าวได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์การธุรกิจและความสัมพันธ์ของฝ่ายต่าง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องผูกพันกันทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
           แผนภูมิองค์การทำให้บุคคลในองค์การรู้ว่าตนอยู่ ณ ตำแหน่งใด ทำหน้าที่อะไร ใครรับผิดชอบตน เป็นต้น
           ลักษณะของแผนภูมิองค์การ
           1. เสนอในรูปไดอะเกรม
           2. แสดงให้เห็นสายงานบังคับบัญชาในองค์การ
           3. แสดงให้เห็นงานของฝ่ายต่าง ๆ และความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
           4. บ่งชี้เส้นทางการติดต่อสื่อสาร
           แผนภูมิองค์การควรมีความชัดเจนไม่ก่อให้เกิดความสับสน เพราะเป็นการแสดงความสัมพันธ์ของฝ่ายต่าง ๆ ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ บางครั้งแผนภูมิองค์การอาจจำแนกออกเป็นแผนภูมิด้านบุคลากร (personnel organization ' chart) และแผนภูมิองค์การด้านหน้าที่ (functional organization chart)
           แผนภูมิองค์การด้านบุคลากรจะแสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งต่าง ๆ
แผนภูมิองค์การด้านหน้าที่จะแสดงให้เห็นถึงหน้าที่หรือกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์นอกจากนี้แผนภูมิองค์การยังแบ่งออกแผนภูมิหลักและแผนภูมิเสริม

           แผนภูมิหลัก (Master chart) แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของธุรกิจทั้งหมด โดยแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งทั้งหมด และความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่แสดงไว้ในองค์การเป็นการให้ภาพที่ชัดเจนของโครงสร้างองค์การอย่างเป็นทางการ
           แผนภูมิเสริม (Supplementary Chart) เป็นแผนภูมิของแผนกต่าง ๆ ที่บรรยายให้เห็นถึงตำแหน่งและความสัมพันธ์ภายในแผนก ทั้งนี้เพราะธุรกิจขนาดใหญ่จะมีความยุ่งยากในการแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ในแผนภูมิหลัก แผนภูมิเสริมนี้จะช่วยให้เห็นข่ายงานที่ชัดเจน
ประโยชน์ของแผนภูมิองค์การ
           1. เป็นเครื่องมือทางการบริหาร เพื่อชี้ให้พนักงานเห็นถึงการทำงานภายในองค์การทั้งหมดและบุคคลที่พนักงานเหล่านั้นต้องเกี่ยวข้องด้วย
           2. เป็นการแสดงให้เห็นถึงสายการบังคับบัญชาและความรับผิดชอบ ทำให้รู้ว่าตนมีหน้าที่ด้านไหน ใครควบคุม ใครที่ต้องรายงานด้วย เป็นต้น
           3. เป็นแนวทางให้แก่บุคลากรใหม่เพื่อเข้าใจองค์การและเป็นแนวทางในการฝึกบุคลากรสู่ตำแหน่งต่าง ๆ
           4. เป็นการกำหนดข่ายงานการจำแนกบุคลากรและระบบการประเมินผล
           5. เป็นการแสดงให้เห็นส่วนสำคัญที่ควรมีการปรับปรุงในองค์การ เพราะขณะที่ลงมือปฏิบัติงานจะมองเห็นความไม่สอดคล้องและความบกพร่องอื่นๆ เพื่อนำมาเป็นแนวทางปรับปรุง
           อย่างไรก็ตามแผนภูมิองค์การยังมีข้อจำกัดอื่นๆ เช่น แสดงเฉพาะความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ส่วนความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการไม่ได้กำหนดไว้ซึ่งความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการมีผลต่อการดำเนินงาน
ในองค์การเป็นอย่างมาก เป็นต้น
           ประเภทของแผนภูมิองค์การ (Types of Organization Charts)
           แผนภูมิองค์การแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
           1. แผนภูมิองค์การแนวดิ่ง (Vertical organization Chart) องค์การส่วนมากจะใช้แผนภูมิประเภทนี้เสนอให้เห็นถึงระดับต่าง ๆ ขององค์การมีลักษณะเป็นรูปพีระมิด ผู้บริหารระดับสูงอยู่ส่วนบนสุด และเลื่อนลงมาข้างล่างตามลำดับ ดังนั้นสายการบังคับบัญชาจะดำเนินจากบนลงล่าง (top to buttom)

           2. แผนภูมิองค์การแนวระดับหรือแนวนอน (Horizontal organization chart) เป็นแผนภูมิที่อ่านจากซ้ายไปขวา ด้านซ้ายจะเป็นผู้บริหารระดับสูง ลดหลั่นเรื่อยไปจนถึงคนงานที่ขวาสุด ดังรูป


รูปแผนภูมิองค์การแนวระดับ
           3. แผมภูมิองค์การแบบแยกธุรกิจและ องค์การแบบอิสระ (Matrix Organization) ผู้นำเรียกว่า Matrix boss แนวโน้มโครงสร้างองค์การสมัยใหม่องค์การสมัยใหม่จะเน้นให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมมากขึ้น
           3.1 สายการบังคับบัญชาสั้นลงหรือน้อยลง ยิ่งสั้นลงก็ทำให้งานเร็วขึ้น
           3.2 ขนาดการควบคุมกว้างขึ้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและการสั่งงานเร็วขึ้นผู้ใต้บังคับบัญชามีอิสระมากขึ้น
           3.3 ความเป็นเอกภาพของการบังคับบัญชาน้อยลง โครงสร้างองค์การในปัจจุบันมีแน้วโน้มในการใช้การทำงานเป็นทีมข้ามหน้าที่ การใช้หน่วยเฉพาะกิจ และการจัดโครงสร้างองค์การแบบแมททริกซ์
           3.4 การมอบหมายงานและการให้คนมีอำนาจและความรับผิดชอบมากขึ้น
           3.5 โครงสร้างขนาดเล็กอยู่ในขนาดใหญ่ ทำให้ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ง่ายกว่า
           3.6 ลดจำนวนที่ปรึกษาให้อยู่ในระดับที่เป็นประโยชน์ต่องานของฝ่ายบริหาร



3. เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างไรบ้าง
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งาน
           การสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ให้แก่องค์การ แต่งาน สารสนเทศ ส่วน ใหญ่ยังอยู่ในระดับปฏิบัติการ ซึ่งต้อง อาศัย ระยะเวลาและความ เข้าใจจากผู้บริหารในการพัฒนา ระบบสารสนเทศ ให้มีความกลมกลืน กับองค์ การ การพัฒนาระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ไม่สามารถดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยขาด ความรู้และความ เข้าใจที่แท้จริง เพราะ ว่า ต้อง ใช้เงิน ลงทุนสูงและอาจมีปัญหาที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น โดยวิธีการที่เหมาะสมในการ สร้างระบบ สารสนเทศ เชิงกลยุทธ์คือ การตรวจสอบ ระบบ ที่ใช้ งาน ในปัจจุบันว่ามีขีดความสามารถเพียงใดและสามารถ พัฒนาให้สอดคล้อง กับการดำเนินงานในระดับสูงได้อย่างไร โดยไม่ลืมพิจารณา ความสามารถ และศักยภาพในการพัฒนา ด้านสารสนเทศ ของบุคคล เป็นสำคัญ
ระบบสารสนเทศกับการธำรงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ
           Alvin Toffler (1990) กล่าวในหนังสือ "อำนาจใหม่ (Power Shift)" โดยสรุปว่า โลกกำลังเคลื่อนเข้าสังคม อนาคต ที่มีความ แตกต่าง จากอดีตอย่างชัดเจน โดย องค์ ประ กอบ ของอำนาจกำลังย้ายมุม จากพลังอำนาจของเงินตรา และความรุนแรง ไม่สู่พลังอำนาจของความรู้ ซึ่ง ประกอบด้วยการได้มาของข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพ และความสามารถ ในการประยุกต์ ข้อมูลข่าวสาร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยบุคคล ที่สามารถนำความรู้ที่ได้รับมาใช้ในการทำงานอย่าง ถูกต้องและเหมาะสม จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งตนเองและระบบที่เขาเป็นสมาชิกปัจจุบันเมื่อ องค์การ สามารถ พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของลูกค้าไม่นานนัก คู่แข่งขันก็จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใกล้เคียงกัน หรือที่เรียกว่า "ผลิตภัณฑ์ เลียนแบบ (Copycats)" ได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ เช่น การซื้อเทคโนโลยี วิศวกรรมย้อนกลับ (Reverse Enginerring) หรือการจารกรรม ทางความคิด เป็นต้น นอกจากนี้ผลิต ภัณฑ์ที่ออกใหม่ของคู่แข่งอาจมีเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่ดีกว่าของต้นแบบ เนื่องจากคู่แข่งสามารถเรียนรู้จาก เทคโนโลยีและ ข้อมูลที่ได้รับจากธุรกิจของเรา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสำคัญของธุรกิจ ปัจจุบันคือ "องค์การจะจะรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร"  โดยเฉพาะสำหรับผู้นำในตลาดที่ต้องการ รักษา ความเป็น ที่หนึ่งอย่างต่อเนื่อง Clemson และ Weber (1991) แนะนำแนวทางในการธำรงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน 4 วิธี ดังต่อไปนี้
           1. ดำเนินการก่อน (First Mover) ธุรกิจสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการใหม่ แก่ลูกค้าก่อนคู่แข่ง ตามแนวคิดที่ว่า "การเป็นหนึ่งในตลาดย่อมดีกว่าเป็นที่สอง ที่ดีกว่า" ถึงธุรกิจคู่แข่งจะ สามารถเข้ามา ในตลาดหรือ สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่คล้ายคลึงกับเราได้ แต่ธุรกิจสามารถ สร้างอิทธิพลในการกำหนดโครงสร้างของตลาดและการแข่งขัน สามารถทำกำไรที่สูง และถ้าธุรกิจสามารถสร้าง ความซื่อสัตย์และบริการขององค์การ ขึ้นในกลุ่ม ลูกค้าก็จะทำให้การ ดำเนินงานของ ธุรกิจมีความมั่นคง
           2. ผู้นำด้านเทคโนโลยี (Technological Leadership) ปัจจุบันเทคโนโลยีสมัย ใหม่โดยเฉพาะ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ เราจะพบว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเริ่มมีบทบาท ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันธุรกิจ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญฯเชิงกลยุทธ์ขององค์การ ถ้าธุรกิจสามารถเป็นผู้นำในการ นำเทคโนโลยีที่ทัน สมัยมา ประยุกต์ในการทำงานแล้ว นอกจากการพัฒนาผลิตภาพแล้วธุรกิจยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในความรู้สึกของผู้บริโภค เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ที่พยายามเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีมาใช้บริการลูกค้า เป็นต้น 
           3. เสริมสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง (Continuous Innovation) การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน ส่งผลให้ธุรกิจมี นวตกรรมของ ผลิตภัณฑ์และ บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจ นอกจากนี้พัฒนาการที่ต่อเนื่องยังทำให้คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทัน แต่การพัฒนาที่รวดเร็วจะมีค่าใช้จ่ายด้านการ วิจัยและพัฒนา (Research and Development) หรือ R&D สูง ซึ่งผู้บริหารต้องพิจารณาอย่าง รอบคอบ กับผลได้ ผลเสียของการเป็นผู้นำด้านนวตกรรมก่อนตัดสินใจกำหนดตำแหน่งขององค์การ
           4. สร้างต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแปลง (Create High Switching Cost) บางครั้งธุรกิจอาจพยายามสร้างความ ไม่สะดวก สบายหรือค่าใช้จ่าย ที่สูงแก่ลูกค่า ทั้งโดยทาง ตรงหรือทางอ้อม ถ้าเขา ต้องการจะเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคู่แข่ง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าต้องคิดอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ของคู่แข่ง


4. ให้นักศึกษาอธิบายหัวข้อต่อไปนี้
·         ระบบสารสนเทศด้านการจัดการโซ่อุปทาน
             การเชื่อมโยงระบบสารสนเทศ (ระบบคอมพิวเตอร์) ของแต่ละธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานเข้าด้วยกัน ผมไม่แน่ใจตัวอย่างจริงๆ ในประเทศไทยนะครับ เพราะไม่ได้ทำงานด้านนี้โดยตรง
แต่ยกตัวอย่างเช่น สมมติ ธุรกิจของคุณ คือ ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ดังนั้น ในห่วงโซ่อุปทานของคุณ จะเริ่มจาก supplier อาจจะเป็นโรงงาน แปรรูปไม้ จากนั้น ธุรกิจคุณจะนำไม้แปรรูปมาทำการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และส่งขายให้ลูกค้าคุณ อาจจะเป็น ร้านค้าปลีกด้านเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจะขายต่อให้ผู้บริโภค ultimate consumers อีกต่อหนึ่ง ในโรงงานของคุณอาจจะมีระบบสารสนเทศจัดการด้านสินค้าคงคลัง ตามแผนการผลิต ซึ่ง เมื่อมีความต้องการวัตถุดิบ ข้อมูลดังกล่าวจะส่งไปที่ supplier ในทันที่ ผ่านระบบสารสนเทศ เพื่อ supplier  จะทราบว่าธุรกิจคุณต้องการอะไรและดำเนินการจัดส่งมายังโรงงานของคุณเพื่อ ดำเนินการผลิตได้ทันท่วงที อีกทางหนึ่ง ร้านค้าปลีกด้านเฟอร์นิเจอร์อาจจะมีระบบดังกล่าว เช่นกัน เมื่อลูกค้าซื้อสินค้า และสินค้าคงคลังของร้านค้าปลีกดังกล่าวลดลงในระดับที่ต้องการ ข้อมูลจะถูกส่งมายังบริษัทคุณ เพื่อคุณจะได้ทำการผลิตและจัดส่งไปทดแทนได้ทันที
  • ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์  
             ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ ซีอาร์เอ็ม  (Customer Relationship Management -- CRM)  การจัดการ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ คือ การจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับลูกค้าในปัจจุบัน และลูกค้าที่คาดว่าจะมีในอนาคต เป็นการประสากระบวนการขาย การตลาดและการให้บริการทั้งหมด ดังนั้นระบบสารสนเทศที่รองรับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์รวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลในงานต่าง   วิเคราะห์ ประเมินคุณค่าของลูกค้า ค้นหากลุ่มลูกค้า ความต้องการในสินค้าและบริการ เพื่อนำปรับปรุงให้สอดคล้องต่อไป
  • ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร
          ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์การ (Enterprise Resource Planning : ERP) เป็นระบบสารสนเทศที่บูรณาการงานหลักต่างๆ ขององค์การ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารบุคคล ฯลฯ เข้าด้วยกันโดยเชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์ (Real Time) เพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลหรือสารสนเทศโดยภาพรวมและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
วิวัฒนาการของระบบ ERP  
ประมาณช่วงต้นทศวรรษที่ 1960  วงการอุตสาหกรรมได้นำระบบการวางแผนความต้องการวัสดุ หรือ MRP (Material Requirements Planning) มาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการหารายการและจำนวนวัสดุที่ต้องการตามแผนการผลิตที่วางไว้ และนำมาช่วยด้านบริหารการผลิต  ซึ่งระบบ MRP ได้รับการยอมรับว่าสามารช่วยลดระดับวัสดุคงคลังลงได้ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออก และช่วยให้การวางแผนและการสั่งซื้อวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1980 ระบบการผลิตมีความซับซ้อนมากขึ้นจึงมีการขยายขอบเขตระบบ MRP จากเดิมโดยรวมเอาการวางแผนและการบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆ เข้ามาในระบบด้วยและเรียกว่าระบบ MRP II (Manufacturing Resource Planning) อย่างไรก็ตามระบบ MRP II  สนับสนุนการดำเนินงานในส่วนของการผลิต ยังไม่สามารถสนับสนุนการทำงานทั้งหมดในองค์การได้ จึงมีการขยายระบบให้ครอบคลุมงานหลักทุกอย่างในองค์การจึงเป็นที่มาของระบบ ERP
กระบวนการทางธุรกิจที่สนับสนุนโดยระบบ ERP
กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process) ทั้งหมดในองค์การไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตสินค้า กระบวนการฝ่ายการเงินและการบัญชี กระบวนการขายและการตลาด กระบวนการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และอื่น เพื่อให้กระบวนการทำงานต่างๆ นั้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ รวดเร็ว ไม่ซ้ำซ้อน และสามารถลดต้นทุนทั้งระบบได้ ข้อมูลจากกระบวนการหรือส่วนต่างๆ ขององค์การจะถูกจัดเก็บไว้ที่เก็บข้อมูลส่วนกลางซึ่งระบบงานอื่นๆ สามารถใช้งานข้อมูลร่วมกันได้ และยังช่วยให้ผู้บริหารได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่ทันสมัย เพื่อใช้ในการบริหารและกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และรวดเร็วทันเหตุการณ์
ประโยชน์และความท้าทายของระบบ ERP
กระบวนการบริหาร  ช่วยให้กระบวนการธุรกิจเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ยังสามารถรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้กับผู้บริหารได้อย่างเที่ยงตรงและเป็นปัจจุบัน ช่วยให้ผู้บริหารรับทราบข้อมูลทาการเงินซึ่งอาจอยู่ในหลายรูปแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยการใช้ระบบเดียวกัน ทำให้ผู้บริหารทราบผลการดำเนินงานและตรวจสอบสถานการณ์ดำเนินงานโดยรวมขององค์การ และสามารถตัดสินใจด้านการบริหารได้อย่างทันทวงที่และมีประสิทธิภาพมาขึ้น
เทคโนโลยีพื้นฐาน  ระบบ ERP ช่วยเชื่อมโยงระบบงานต่างๆ ที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันเสมือนเป็นระบบเดียวกันทั้งองค์การ
กระบวนการทำงานที่รวดเร็ว    การบูรณาการงานหลักต่างๆ ขององค์การเข้าด้วยกันช่วยให้ประสานการทำงานได้ทั่วทั้งองค์การทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
ความท้าท้าย 
                การนำเอาระบบ ERP การติดตั้งและใช้งาน (Implementation) เพื่อเป็นระบบสารสนเทศหลักขององค์การเป็นเรื่องที่ยาก ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนสูงมาก บางครั้งองค์การอาจต้องปรับซอฟแวร์ ERP (Customization) เพื่อให้เข้ากับรูปแบบการทำงานขององค์การ รวมถึงต้องใช้ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการดำเนินธุรกิจและเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานภายในองค์การ
 
1.  การเปลี่ยนแปลงกระบวนการดำเนินธุรกิจและวัฒนธรรมการทำงานภายในองค์การ
2.  การบริหารโครงการระบบสารสนเทศขนาดใหญ่ละค่าใช้จ่ายในตอนเริ่มต้นที่สูง
3.  ความไม่ยืดหยุ่นในการปรับซอฟแวร์
ขั้นตอนการนำระบบ ERP มาใช้ในองค์การ
1.  การศึกษาและวางแนวคิด พิจารณาว่า
                -  การศึกษาถึงสภาพปัจจุบันขององค์การว่ามีความจำเป็นต้องนำ ERP มาใช้หรือไม่ อย่างไร
                -  การศึกษาและทำความเข้าใจถึงรูปแบบทางธุรกิจ (Business Scenario)
                -  ปัญหาขององค์การและสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีอยู่ในปัจจุบันและจากสภาพปัจจุบัน
                -  พิจารณาถึงในอนาคตว่าต้องการให้องค์การมีสภาพเป็นอย่างไร
                -  สร้างจิตสำนึกในความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงนี้ให้บุคลากรทุกระดับ
                -  ตั้งกลุ่มผู้รับผิดชอบ
                -  ขออนุมัติจากผู้บริหารเพื่อให้นำ ERP มาใช้ เมื่อผู้บริหารอนุมัติก็จะเริ่มต้นวางแผนต่อไป
2.   การวางแผนนำระบบมาใช้ 
                -  เริ่มดำเนินการหลังจากผู้บริหารอนุมัติ
                -  ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด
3.  การพัฒนาระบบ 
                -  จัดทำแผนโครงการพัฒนาโดยละเอียด
                -  กำหนดงานที่จะต้องทำพร้อมทั้งระบุเวลาและเป้าหมาย
                -  สำรวจระบบงานปัจจุบันว่าจะต้องปรับปรุง ลดขั้นตอน หรือเปลี่ยนแปลงอย่างไร
                -  สรุปความต้องการจากส่วนงานต่างๆ ขององค์การว่ามีความต้องการซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถ
    อะไรบ้าง
                -  ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ERP จากหลายแหล่ง
                -  หากคณะทำงานคิดว่าไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอก็อาจจ้างที่ปรึกษามาช่วย
4.   การใช้งานและปรับเพิ่มความสามารถ  
                -  ฝึกอบรมและไห้การสนับสนุนบุคลากรในการใช้ระบบ
                -  ส่งเสริมให้บุคลากรมีความชำนาญในการใช้ระบบ
                -  ขยายขีดความสามารถและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเมื่อความต้องการเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม
    ทางธุรกิจและเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน  
โครงสร้างของซอฟแวร์ ERP

          
                                                                                    ตัวอย่างโครงสร้างของ ERP
 
1.  ซอฟต์แวร์โมดูล (Business Application Software Module) ได้แก่โมดูลที่ทำหน้าที่ในงานหลักขององค์การ ซึ่งแต่ละโมดูลนอกจากจะทำงานเฉพาะในแต่ละโมดูลนั้นๆ แล้วยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันได้
2.  ฐานข้อมูลรวม (Integrated Database) ซอฟต์แวร์โมดูลทุกโมดูลสามารถเข้าถึง (Access) ฐานข้อมูลรวมได้โดยตรงและสามารถใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลรวมนี้ร่วมกันได้
3.  ระบบสนับสนุนการบริหารจัดการ (System Administration Utility) เป็นส่วนสนับสนุนการบริหารจัดการระบบ เช่น การคัดลอกสำเนา การลงทะเบียน และกำหนดสิทธิผู้ใช้งาน
4.  ระบบสนับสนุนการพัฒนาและการปรับเปลี่ยน (Development and Customization) เป็นส่วนสนับสนุนการพัฒนาหรือการปรับเปลี่ยนบางงานให้เข้ากับการทำงานขององค์การ
ปัจจัยในการพิจารณาตัดสินใจเลือกซอฟต์แวร์ ERP
 การพิจารณาว่าจะใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปหรือไม่ ต้องดูว่าค่าใช้จ่ายสำหรับองค์การและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบำรุงรักษามาประกอบการพิจาณา ฟังก์ชั่นของ ERP สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความต้องการในการนำมาใช้งานขององค์การ หากไม่พิจารณาให้รอบคอบเมื่อซื้อมาแล้วจะเกิดปัญหาและขาดประสิทธิภาพในการใช้งาน ความยืดหยุ่นในการปรับแก้ซอฟต์แวร์ เพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์การ รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ต้นทุนในการเป็นเจ้าของระบบ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและเปรียบเทียบกับผลที่จะได้รับ การบำรุงรักษาระบบต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างดี รองรับการทำงานหรือเทคโนโลยีในอนาคต เพื่อเตรียมการสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่าย ความสามารถของผู้ขาย  ว่าครอบคลุมด้านบริการหลังการขาย สถานะการเงิน ความเชื่อถือ การแก้ไขซอฟต์แวร์
ปัจจัยในการพิจารณาตัดสินใจเลือกซอฟต์แวร์ ERP
1.  การพิจารณาว่าจะใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปหรือไม่
                -  หากมี ERP มาตรฐานในตลาดรองรับก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นเอง
                -  การเลือกใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเพราะการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาเองนั้นจะมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนา
    และบำรุงรักษาสูง ควบคุมงบประมาณค่อนข้างยาก
2.  ฟังก์ชันของ ERP สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความต้องการ ในการนำมาใช้งานขององค์การ
                -  ฟังก์ชันของระบบ ERP ที่เลือกจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความต้องการในการนำมาใช้
                -  องค์การสามารถเลือกชมการสาธิตหรือทดสอบความสามารถในการทำงานตามหน้าที่ต่างๆ ของ
                  ซอฟต์แวร์ก่อน
3.  ความยืดหยุ่นในการปรับแก้ซอฟต์แวร์
                -  ระบบ ERP จะต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งได้เพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์การ
                -  การปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขควรจะสามารถทำได้ง่ายอย่างมีประสิทธิภาพและเมื่อแก้ไขแล้วควร
   สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ในรุ่น (Version) ใหม่ด้วย
                -  การปรับซอฟต์แวร์ที่มากเกินไปจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลาเพิ่มขึ้น
4.  ต้นทุนในการเป็นเจ้าของระบบ ERP
                -  ซอฟต์แวร์ ERP แต่ละตัวมีจุดเด่นและค่าใช้จ่ายในการลงทุนไม่เท่ากัน องค์การควรคำนึงถึงความเหมาะสมและเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่ได้รับกับต้นทุนทั้งหมดทั้งที่เป็นต้นทุนระยะสั้น และระยะ ยาว
5.  การบำรุงรักษาระบบ
                -  สร้างบุคลากรเพ่อทำหน้าที่ในการดูแลบำรุงรักษาระบบให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                -  ในกรณีบุคลากรขององค์การไม่สามารถบำรุงรักษาระบบได้เองและจำเป็นต้องให้บุคคลหรือ
    หน่วยงานภายนอกดำเนินการในส่วนนี้แทน
6.  รองรับการทำงานหรือเทคโนโลยีในอนาคต
                -  องค์ควรพิจารณาซอฟต์แวร์ที่มีการเตรียมการสำหรับการเชื่อต่อกบระบบภายนอกได้ง่าย
7.  ความสามารถของผู้ขายซอฟต์แวร์
                -  ประเมินความสามารถและศักยภาพของผุ้ขายโดยครอบคลุมด้านบริการหลังการขาย
                -  สถานการณ์เงินและความเชื่อถือได้ของผลงาน
                -  ผู้ขายหรือตัวแทนขายจะต้องได้รับสิทธิในการแก้ไขซอฟต์แวร์และมีซอสโค้ด (Source Code) ด้วย
ซอฟต์แวร์ ERP ในท้องตลาด  
IFS Applications               MFG/PRO                          SSA Baan ERP5
mySAP ERP                       CONTROL                         Oracle
Peoplesoft                            J.D. Edwards                      Bann  
กลุ่มที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาด คือ SAP, Oracle, Peoplesoft, Bann และ J.D. Edwards  
การขยายขีดความสามารถของระบบ ERP และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม
                การขยายขีดความสามารถของ ERP (Extended ERP) คือมีการขยายฟังก์ชันการทำงาน ERP ให้มีการบูรณาการกับซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น
                1)  ระบบการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM)
                2)  การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (SCM)
                3)  การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ฯลฯ
                ทำให้ ERP และซอฟต์แวร์เหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้และเป็นการบูรณาการที่มี ERP เป็นฐาน นอกจากนั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและเว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) เพื่อเชื่อมต่อระว่างกระบวนการทางธุรกิจภายในองค์การเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจภายนอกองค์การ

·         ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
               ด้วยการวางรากฐานเทคโนโลยีสารสนเทศด้านระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Knowledge Organization) ตลอดจนนวัตกรรมอื่น ทำให้เกิดแนวคิดด้านการจัดการความรู้ (Knowledge Management)  โดยองค์การจะมีการใช้และการรับรู้มูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Assets) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ขององค์กรความหมายของความรู้                ความรู้ คือ  การพิสูจน์ความเชื่อที่เป็นจริง (Goldmann, 1999 อ้างถึงใน Firestone&McELROY,2003:3)                 ความรู้ คือ ความสามารถในการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Arghris,1993 อ้างถึงใน Firestone&McELROY,2003:3)      ความรู้ คือ ประสบการณ์หรือสารสนเทศที่สามารถสื่อสารและแบ่งปันกันได้ (Alle,1997 อ้างถึงใน Firestone&McELROY,2003:3)                 ความรู้เป็นการผสมผสานของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สรสนเทศและการหยั่งเห็น  ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ให้กรอบสำหรับการประเมินและการนำประสบการณ์และสารสนเทศใหม่มาผสมผสานรวมกัน (Davenport &Prusak,1995 อ้างถึงใน Tiwana,2002:37)       ความรู้ (Knowledge)  ตามความหมายพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากกาศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ไดรับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติ องค์วิชาในแต่ละสาขา
               ประเภทของความรู้               
                1.  ความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) เป็น ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในตัวบุคคล ยากที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรเช่น ความรู้ที่จากประสบการณ์ พรสวรรค์ ความรู้สึกนึกคิด ทักษะในการทำงาน งานฝีมือหรือการคิดเชิงวิเคราะห์ ความรู้ประเภทนี้สามารถพัฒนาและแบ่งปันได้ และเป็นความรู้ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน               
                2.  ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็น ความรู้ที่เป็นเหตุและผล สามารถเขียนบรรยายหรือถ่ายทอดมาเป็นตัวอักษร ข้อความ กฎเกณฑ์ สูตร นิยาม หรือลักษณะตัวแบบทางคณิตศาสตร์ได้ เช่น หนังสือ เอกสาร และคู่มือต่างๆ   ความรู้โดยนัยมีมากกว่าความรู้ที่ชัดแจ้ง คือมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 80:20 หากเปรียบความรู้ชัดแจ้งเป็นภูเขาน้ำแข็งที่มีน้ำแข็งโผล่พ้นน้ำอยู่ 20% ความรู้โดยนัยจะเปรียบได้กับส่วนของน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำซึ่งมีอยู่ถึง 80% 
ความหมายการจัดการความรู้ (Knowledge Management)                
               การจัดการความรู้เป็นกระบวนการรวบรวม จัดระบบ จัดหมวดหมู่ และเผยแพร่สารสนเทศทั่วทั้งองค์การเพื่อให้ผู้ที่ต้องกรสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ (Alter,1988 อ้างถึงใน Shukla,www.geoities.com/madhukar_shukla/km.pdf)                การ จัดการความรู้เป็นการรวบรวมวิธีปฏิบัติขององค์การและกระบวนการที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างการนำไปใช้ และการเผยแพร่ความรู้และบริบทต่างๆทีเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ (World Bank อ้างถึงใน สุวรรณ เหรียญเสาวภาคย์ และคณะ,2548)    การจัดการความรู้เป็นการนำความรู้ให้กับผู้ที่ต้องกาในเวลาเหมาะสม (USAID,http://knowledge.usaid.gov/JoeRabenstine_Seminar1.pdf)   โดย สรุปการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการหนึ่ง ซึ่งช่วยองค์การในการระบุ คัดเลือก รวบรวม เผยแพร่และโอนย้ายสารสนเทศที่มีความสำคัญ อีกทั้งยังประกอบด้วยความรู้และความชำนาญงานโดยจัดเก็บไว้ในฐานความรู้ของ องค์การ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากการทำงานทีมักเกิดการเปลี่ยน แปลงอยู่เสมอโดยกระบวนการจะเริ่มต้นตั้งแต่ การะบุถึงความรู้ที่ต้องการสร้างรูปแบบของกาจัดเก็บความรู้อย่างเป็นทางการ ในการเพิ่มมูลค่าของความรู้นั้นทำได้ด้วยการนำความรู้ไปใช้อีกบ่อยครั้งเท่า ที่ต้องการ ดังนั้นในองค์การที่ประสบผลสำเร็จจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนความรู้ให้อยู่ใน รูปแบบของทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) โดยมีการแลก เปลี่ยนความรู้ระหว่างบุคคลและการเผยแพร่กระจายความรู้อย่างกว้างขวาง จนก่อให้เกิดฐานความรู้ขนาดใหญ่ที่สามารถเรียกใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาภายใน องค์การแห่งการเรียนรู้และยังนำไปสู่การสร้างความรู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและ มีการปับเปลี่ยนความรู้ให้ทันสมัยขึ้นอย่างไม่มีวันจบสิ้น โดยที่วัฏจักรด้านการจัดการความรู้มี 6 ขั้นตอน ดังนี้               
                ขั้นตอนที่การสร้างความรู้ ซึ่งกำหนดได้จากการกระทำของบุคคล             
                ขั้นตอนที่การจับความรู้ โดยการคัดเลือกความรู้ที่มีมูลค่าและสมเหตุสมผล            
                ขั้นตอนที่การปรับความรู้ โดยมีการจัดบริบทความรู้ใหม่ที่นำไปปฏิบัติได้              
                ขั้นตอนที่การเก็บความรู้ โดยทำการจัดเก็บความรู้ที่มีประโยชน์ไว้ภายในฐานความรู้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกเมื่อที่ต้องการ               
               ขั้นตอนที่การ จัดการความรู้ โดยทำการปรับความรู้ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งมักจะมีการตรวจสอบและทบทวนถึงความตรงประเด็นและความถูกต้องของความรู้ อยู่สมอ               
               ขั้นตอนที่การเผยแพร่ความรู้ โดยนำเสนอความรู้ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบที่บุคคลต้องการ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดหรือเวลาใดก็ตาม   
รูปแบบการจัดการความรู้               
                รูปแบบของการจัดการความรู้ที่จะกล่าวถึงเป็นรูปแบบที่บริษัท Xerox Corporation ใน ประเทศสหรัฐอเมริกามีการนำมาใช้อย่างประสบความสำเร็จ และมีหลายองค์กรในประเทศไทยที่มีการนำรูปแบบนี้มาเป็นกรอบแนวคิดในการจัดการ ความรู้                รูปแบบการจัดการความรู้ ประกอบด้วยกระบวนการดังนี้
               1เป็นการจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม (Trasition and Behavior Management): สร้าง วัฒนธรรมทีเอื้อต่อการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมจะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและความร่วมมือของบุคลากร ทุกระดับ
               2.  การสื่อสาร (Communication): องค์การต้องมีการวางแผนการสื่อสารอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยคำนึงถึงเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงช่องทางในการสื่อสาร
               3.  กระบวนการและเครื่องมือ (Process and Tool): มีกระบวนการและเครื่องมือที่เหมาะสมและเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ในองค์การ
               4.  เรียนรู้ (Learning): เป็น การเตรียมความพร้อม สร้างความเข้าใจเพื่อให้บุคลากรตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการความรู้ รวมถึงจัดการฝึกอบรมที่เหมาะสมให้กับบุคลากร
               5.  การวัดผล (Measurements): เลือก การวัดผลเพื่อให้ทราบถึงสถานะ ความคืบหน้า และผลทีได้เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะช่วยให้องค์การสามารถทบทวน และปรับปรุงกระบวนการต่างๆเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการจัดการความรู้
               6.  การยกย่องชมเชยและให้รางวัล (Recognition and Rewards): มีการยกย่องชมเชยและระบบการให้รางวัลเพื่อจูงใจให้บุคลากรเข้าร่วมกิจกรรมระบบการจัดการความรู้            ระบบการจัดการความรู้ หรือ  เคเอ็มเอส ประกอบด้วย กลุ่มของเทคโนโลยี 3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกันและกลุ่มเทคโนโลยีด้านหน่วยเก็บและค้นคืนข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้               
               กลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร คือ สื่อกลางที่ยินยอมให้ผู้ใช้เข้าถึงความรู้และสื่อสารความรู้นั้นกับบุคคล อื่นโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งผ่านทางอีมล อินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต  ตลอดจนเครื่องมือต่างๆของระบบบนเว็บ แม้กระทั่งเครื่องโทรสาร และโทรศัพท์ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการสื่อสาร               
               กลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกัน  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลุ่ม กรุ๊ปแวร์คือการปฏิบัติงานของกลุ่มร่วมงานหนึ่งที่สมาชิกมีการทำงานร่วมกัน ภายใต้เอกสารหนึ่งในเวลาเดียวกันหรือต่างเวลา หรืออาจจะในสถานที่เดียวกันหรือต่างถานที่ก็ตาม มีการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนด้านความรู้ เช่น ระบบระดมความคิดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brainstorming) ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆรวมทั้งการใช้พื้นที่เสมือน (Virtual Space) เพื่อให้บุคคลสามารถทำงานบนระบบออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะอยู่หนใดหรือเวลาใดก็ตาม               
               กลุ่มเทคโนโลยีด้านการจัดเก็บและค้นคืนข้อมูล ซึ่งจะอยู่ภายใต้ของการใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลเพื่อการจับ จัดเก็บ และจัดการความรู้ส่วนต่างๆโดยต้องการใช้กลุ่มเครื่องมือทีต่างไปจากปกติ เช่น ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Document Management System) และระบบหน่วยเก็บพิเศษ (Specialized Storage System) ซึ่งจะต้องถูกนำมาใช้ร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
               เทคโนโลยีด้านการจัดการความรู้  สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการจัดการความรู้  อาทิเช่น ปัญญาประดิษฐ์ โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ การค้นพบความรู้ในฐานข้อมูล และภาษาเอกซ์เอ็มแอล  ล้วน เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีชั้นสูงของเคเอ็มเอสและถือเป็นพื้นฐานด้านนวัตกรรม ใหม่ของสาขาการจัดการความรู้ในอนาคต ซึ่งมีรายละเอียดของเทคโนโลยีทั้ง 4 ชนิด                 
                ปัญญาประดิษฐ์  จาก นิยามของการจัดการความรู้จะค่อยเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์เท่าใดนัก แต่ในทางปฏิบัติ เครื่องมือของปัญญาประดิษฐ์มักจะฝังตัวอยู่ในเคเอ็มเอส ไม่ว่าการฝังตัวจะกระทำโดยผู้ขายซอฟแวร์หรือผู้พัฒนาระบบก็ตาม                วิธีปัญญาประดิษฐ์จะชี้ให้เห็นถึงความรู้ความชำนาญภายใต้เครื่องมือที่ใช้ดึงความรู้ออกมาอย่างอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ  โดย อาศัยส่วนต่อประสานซึ่งผ่านการประมวลภาษาธรรมชาติ ตลอดจนการค้นหาความรู้จากฐานความรู้โดยใช้โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะเป็นเครื่อง มือ วิธีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักดี คือ ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems) โครงข่ายเส้นประสาท (Neural Networks) ตรรกศาสตร์คลุมเครือ (Fuzzy Logic) และโปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ (Intelligent Agents) ระบบ เหล่านี้จะถูกรวมตัวกันอยู่ในเคเอ็มเอส เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่างๆทั้งในส่วนของการเพิ่มสมรรถนะของการค้นหาความรู้ การกราดตรวจอีเมล เอกสารและฐานข้อมูล ตลอดจนโครงร่างความรู้ (Knowledge Profiles) ทั้ง ในส่วนบุคคลและกลุ่มงาน มีการใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่ เพื่อพยากรณ์ถึงผลลัพธ์ในอนาคตมีการกำหนดความสัมพันธ์ของความรู้ด้วยปัญญา ประดิษฐ์ มีการชี้ให้เห็นรูปแบบข้อมูลด้วยระบบโครงข่ายเส้นประสาท มีการนำกฎที่ใช้สำหรับระบบผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้ข้อคิดเห็นด้านความรู้ผ่าน ระบบโครงข่ายเส้นประสาทและระบบผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งมีการใช้เสียงเพื่อสั่งงาน ด้วยการประมวลภาษาธรรมชาติที่ต่อประสานเข้ากับเคเอ็มเอส               
                โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ คือ ระบบซึ่งช่วยเรียนรู้และช่วยเหลืองานของผู้ใช้ในแต่ละวันตัวอย่างเช่น กรใช้โปรแกรมระบุถึงข้อมูลทีผู้ใช้ต้องกาค้นคืน การใช้ตัวแทนแพสซิฟ เพื่อการเฝ้าติดตามสารสนเทศที่ได้รับว่าเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้มี ความต้องการมากกว่า               
                การค้นหาความรู้ในฐานข้อมูล คือ กระบวนการซึ่งใช้ค้นหา และสกัดสารสนเทศที่มีประโยชน์จากข้อมูลเอกสาร ซึ่งรวมงานด้านการสกัดความรู้ด้านต่างๆตลอดจนการเก็บเกี่ยวสารสนเทศ โดยมีการดำเนินกาอย่างอัตโนมัติ และส่งออกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วถึงแม้ผู้ใช้จะไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้อาจฝังลึกอยู่ภายในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ โกดังข้อมูล หรือคลังความรู้ (Knowledge Repository) ซึ่ง บรรจุข้อมูล สารสนเทศและความรู้รวมอยู่ในที่เดียวกันเป็นเวลานานหลายปี การทำเหมืองข้อมูลจึงเป็นกระบวนการคั้นหาสารสนเทศหรือความสัมพันธ์ภายในฐาน ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้จากการดึงความรู้ออกจากฐานข้อมูล               
               ภาษาเอ็กซ์เอ็มแอล คือ ภาษาที่แสดงมาตรฐานของโครงสร้างข้อมูล เพื่อการประมวลผลข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ต่างกันได้โดยไม่จำเป็นต้อง ใช้โปรแกรมประมวลผลซึ่งทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษ วิธีนี้เหมาะสมกับการใช้ระบบประยุกต์ด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมักจะดำเนินการข้ามขอบเขตขององค์การ ประโยชน์ของการใช้ภาษาเอกซ์เอ็มแอล นอกจากจะเป็นการประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและลดปริมาณงานที่เป็นกระดาษลงแล้ว ตลอดจนโอนย้ายความรู้จากองค์การหนึ่งไปยังอีกองค์การหนึ่งได้ โดยมีการถอดข่าวสารจากฐานความรู้ และป้อนให้เว็บศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจ ซึ่งมีการต่อประสานกันบนพื้นฐานภาษาเอ็กซ์เอ็มแอล ที่สะท้อนให้เห็นการสื่อสารของผู้บริหารและพนักงานภายในอค์การเสมือนจริง ตลอดจน การสื่อสารกับภายนอกองค์การ เช่น องค์การคู่แข่งขัน ตลาดแรงงาน รวมทั้งสถาบันการศึกษา
               ศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจ  ในส่วนศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจ (Enterprise Knowledge Portals) คือ ประตูที่เปิดเข้าสู่เคเอ็มเอส โดยมีวิว ฒนาการมาจากระบบสนับสนุนผู้บริหาร ระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน โปแกรมค้นดูเว็บและระบบจัดการฐาข้อมูล โดยปกติแล้วบุคคลมักใช้เวลาถึง 30% ของเวลาทั้งหมด เพื่อค้นหาสารสนเทศ ดังนั้น ศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจจึงถูกนำมาใช้เพื่อการนำดสนอจุดเข้าถึงสารสนเทศ เพียงจุดเกียวสำหรับความรู้โดยชัดเจน อาทิเช่น แผนโครงการ ความต้องการตามหน้าที่งาน วัสดุการฝึกอบรมและรายงานอย่างเป็นทางการ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอาจจะใช้เป็นแหล่งรวบรวมสารสนเทศประเภทไม่มีโครงสร้างที่อยู่ภายใน องค์การ โดยมีการใช้กลไกการทำงานร่วมกัน ซึ่งมีการบรรจุความรู้ในเครื่องแม่ข่าย มีการรวบรวมศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ เอกสาร อีเมล การสอบถามข้อมูลบนเว็บ การป้อนข้อมูลแบบพลวัตจากเครือข่าย การแบ่งปันปฏิทินและบัญชีรายชื่องาน
               การบูรณาการระบบสารสนเทศ  ใน ส่วนนี้ จะกล่าวถึงการบูรณาการระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้กับระบบรัฐวิสาหกิจ และระบบสารสนเทศอื่น เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ ดังนั้น ในการออกแบบและพัฒนาระบบจะต้องคำนึงถึงความสามารถในการำงานเสริมกับระบบอื่น ด้วย เช่น การทำงานของกลุ่มร่วมงานด้านการสนับสนุนลูกค้าก็สามารถจับความรู้จากฐานความ รู้ เพื่อสนับสนุนปัญหาที่แก้ไขได้ยากของลูกค้าโดยมีการใช้โปรแกรมแผนกช่วยเหลือ เข้าร่วมกลุ่ม
               บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการจัดการความรู้ในองค์การ  เทคโนโลยี สารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการความรู้โดยเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนการ จัดการความรู้ในองค์การให้มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ถูกนำมาใช้กับการจัดการความรู้ เช่น  
                ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์       ระบบสืบค้นข้อมูลข่าวสาร
               -   ระบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์        ระบบประชุมอิเล็กทรอนิกส์
               การเผยแพร่สื่อผ่านระบบเครือข่าย          การระดมความคิดผ่านระบบเครือข่าย-          ซอฟต์แวร์สนับสนุนการทำงานร่วมกันเป็นทีม-          บล็อก (Blog หรือ Weblog) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ หรือประสบการณ์ ผ่านพื้นที่เสมือน (Cyber Space)
               ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ          
                 1.  ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร ซึ่งผู้บริหารในองค์การควรมีความเข้ใจและตระหนักถึงความสำคัญ รวมทั้วประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการความรู้           
               2.  มีเป้าหมายของการจัดการความรู้ที่ชัดเจน ซึ่งเป้าหมายนี้จะต้องสอดคล้อกับกลยุทธ์ขององค์การ         
               3.  มีวัฒนธรรมองค์การที่เอื้อต่อกรแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ภายในองค์การ           
               4.  มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ เช่น  ค้นหาความรู้ วิเคราะห์ข้อมูล จัดระเบียบและดึงเอาความรู้ไปใช้อย่างเหมาะสม           
               5.  ได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกระดับ และบุคลากรต้องตระหนักถึงความสำคัญและเห็นถึงคุณค่าของการจัดการความรู้         
               6.  มี การวัดผลของการจัดการความรู้ ซึ่งจะช่วยให้องค์การทราบถึงสถานะ และความคืบหน้าของการจัดการความรู้ ทำให้สามารถทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้           
                7. มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับหรือเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้           
                8.  มีการพัฒนาการจัดการความรู้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 
               ประโยชน์ของการจัดการความรู้การจัดการความรู้ที่ดี ช่วยให้องค์การไดรับประโยชน์ เช่น
               ช่วยเก็บรักษาความรู้ให้ควบคู่กับองค์การตลอดไป     
                -  ช่วยลดระยะเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือการเรียนรู้งานใหม่               
               -   ปรับปรุงประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับทุกส่วนขององค์การ
                -  เสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ
                 -  ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรมีคุณภาพเพิ่มขึ้นและสามารถประยุกต์
·         ระบบสารสนเทศด้านอัจริยะทางธุรกิจ
              ระบบธุรกิจอัจฉริยะ (BI)
              การรับข้อมูลเชิงลึกและการปรับปรุงการตัดสินใจ




ซอฟต์แวร์ SAP Business All-in-One มีแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก การวิเคราะห์ และเครื่องมือที่ใช้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในการรายงานอย่างเคร่งครัดสำหรับการบัญชีการเงิน ลอจิสติก การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ และอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดได้มีการกำหนดรูปแบบไว้ล่วงหน้าตามบทบาททางธุรกิจและภาพจำลองทาง ธุรกิจ
คุณสามารถดำเนินการดังนี้
  • วางแผน วัดผล และควบคุมกระบวนการขององค์กร
  • เข้าถึงรายงาน ERP ที่พร้อมใช้งานได้อย่างแท้จริง
  • รวมข้อมูลไว้ด้วยเดสก์ท็อปแอพพลิเคชัน
              การตอบสนองความต้องการ BI ที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่จำเป็นต้องทำการวิเคราะห์มากขึ้น ขณะนี้ SAP มีฟังก์ชันระบบธุรกิจอัจฉริยะ ใน SAP Business All-in-One ซึ่งประกอบไปด้วยระบบ ERP และระบบ BI รวมกัน ซอฟต์แวร์ SAP BusinessObjects Edge BI มีการจัดทำรายงานแบบกราฟฟิกและแดชบอร์ดแบบอินเทอร์แอคทีฟ ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมได้ดีขึ้น รวมทั้งควบคุมรายได้ กำไร และสภาพคล่อง

ส่งโดย  ชื่อ นายจตุพล กลิ่นศรีสุข บกจ. 3/1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น